เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ม.ค. ๒๕๕๔

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๔
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เรื่องธรรมนี้มหัศจรรย์นะ ถ้าจิตใจมีธรรมเราจะมีที่พึ่งอาศัย ถ้าจิตใจไม่มีธรรมมันจะเร่ร่อน ความเร่ร่อนเห็นไหม แต่พอเจอสิ่งใด ประสบการณ์สิ่งใด เวลาทุกข์เวลายากเราก็อยากจะพ้นจากทุกข์จากยาก พอเรามีความสุขเราก็เพลิดเพลินจนลืมเนื้อลืมตัว ไอ้ความลืมเนื้อลืมตัวนี่แหละชีวิตมันจะหมดไปวันหนึ่งๆ

ฉะนั้นเราประกอบสัมมาอาชีวะมันเป็นหน้าที่การงานของเรา เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์มีอาหารเป็นคำข้าว ทุกคนต้องมีอาหารนะ เวลาขาดแคลนอาหารขึ้นมา นี่ความมั่นคงของอาหาร ถ้าขาดอาหารขึ้นมามันเกิดจลาจลนะ ผู้บริหารเขาถึงต้องพยายามดูว่าอาหารต้องมีความมั่นคง

ฉะนั้นสิ่งที่เรามีอาหารเป็นสิ่งดำรงชีวิตนี่เราก็เพลิดเพลินกันไป อาหารนี้เราต้องแสวงหา เราต้องมีการปลูกการแสวงหานะ มันไม่ใช่มาได้เองหรอก ฉะนั้นการปลูก การดูแลรักษาเพื่อจะให้เป็นอาหารของมนุษย์ มนุษย์มีอาหารเป็นคำข้าว นี่เวลาทำบุญกุศลเข้าไปแล้ว วิญญาณาหาร อาหารเป็นทิพย์.. ผัสสาหาร อาหารของพรหม.. มโนสัญเจตนาหาร.. อาหารของวัฏฏะที่ร้อยเข้าหากัน ความร้อยเข้าหากันเพื่อการสื่อสาร

ผลของวัฏฏะ.. เราทำบุญกุศลกันมานี้เราเกิดในวัฏฏะ วัฏฏะวนนะ ผลของวัฏฏะของการเวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายตายเกิดเป็นสัจธรรม

เขาว่า “ธรรมะเป็นธรรมชาติ” มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี้

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็อาศัยการเวียนว่ายตายเกิดนี้สร้างสมบุญญาธิการมาจนเป็นพระโพธิสัตว์ สร้างบุญกุศลมาจนบารมีเต็ม ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

การตรัสรู้เองโดยชอบ ! เห็นไหม ผลของวัฏฏะ.. ผลของวัฏฏะคือ เราเวียนตายเวียนเกิดมาเพื่อสร้างคุณงามความดีของเรา เราจะออกวงเวียนนั้นไปได้ แต่เราเกิดมาวัฏฏะเห็นไหม เราก็วนอยู่ในวัฏฏะนั้น.. ทำดีก็เป็นผลของวัฏฏะ ทำชั่วก็เป็นผลของวัฏฏะ เพราะผลของวัฏฏะคือผลของการเวียนว่ายตายเกิด จิตใจนี้เวียนว่ายตายเกิดมา แต่สิ่งที่เหนือธรรมชาติ อริยสัจจะ !

สัจจะ อริยสัจจะ เห็นไหม สัจธรรม อริยสัจธรรม.. สัจธรรมที่จะให้พ้นจากกิเลสไปได้เราต้องมีความมั่นคงนะ ถ้าเราไม่มีความมั่นคงนะ ดูสิ งานอาบเหงื่อต่างน้ำนี่ก็เป็นงานที่เราทุกข์เรายากกันอยู่ งานการบริหารจัดการนี่ทุกข์ยิ่งกว่านะ เพราะเราไม่ได้ทำเอง เราฟังนโยบายแล้วให้คนอื่นทำ แล้วคนอื่นเขาจะทำให้เราได้หรือไม่ได้นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ

แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่เราจะต้องทำของเราเอง เราตั้งสติของเราเอง เรามีสติปัญญาของเราเอง เวลามีสติปัญญาของเราขึ้นมา มันจะรู้ขึ้นมาได้ว่าโลกุตตรปัญญาจะเป็นอย่างไร

ในปัจจุบันนี้ปัญญาของเราเป็นวิชาชีพ แม้แต่นักวิชาการ นักทฤษฏี นั่นก็วิชาชีพเหมือนกัน เพราะอาศัยทฤษฏีนั้นไง เราศึกษาธรรมะกันนั่นก็วิชาชีพ เพราะอะไร เพราะจิตใจเราเร่าร้อนเห็นไหม พอเราศึกษาธรรมะขึ้นมาจะมีความร่มเย็นขึ้นมา มันเร่าร้อนในวัฏฏะ ร่มเย็นในวัฏฏะไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสวงหาขึ้นมาเพราะใจนั้น นี่อาสวักขยญาณชำระกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้ววางทฤษฏีเอาไว้ไง วางธรรมวินัยไว้ ธรรมวินัยนี้เพื่อจะส่งเข้าสู่จิตใจ แต่เราศึกษาธรรม ศึกษาทฤษฏีนั้นแล้วเราว่าเรารู้ๆๆๆ ไง มันเป็นการจำมาทั้งนั้นแหละ

สิ่งที่จำมา เห็นไหม ดูสิ เงินทองของเราเวลาเราโดนยึดทรัพย์ ทรัพย์ของเราเยอะแยะมหาศาลเลยเราใช้ไม่ได้นะ เราโดนอายัดทรัพย์ นี่ทรัพย์ของเรามีมากมายมหาศาล แต่เขาอายัดไว้นี่เราเบิกจ่ายไม่ได้หรอก..

ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จำมานี่มันอายัดไว้โดยกิเลสไง กิเลสอายัดไว้มันทำสิ่งใดไม่ได้หรอก แต่ถ้าทรัพย์สมบัติของเรา นี่เราใช้จ่ายได้ เราปลดหนี้ปลดสินของเราได้ เราจะเกื้อหนุนเจือจานใครก็ได้

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติธรรมขึ้นมา ธรรมของเรามันไม่มีใครอายัดไว้ กิเลสเข้ามาอายัดไม่ได้ เพราะอะไร เพราะมันทำลายกิเลส มันฆ่ากิเลสไปแล้ว กิเลสจะมีอำนาจเหนือใจดวงนั้นได้อย่างไร กิเลสจะมีอำนาจเหนือสัจธรรมที่ในหัวใจเราได้อย่างไร แต่นี้เราศึกษาสัจธรรมใช่ไหมเหมือนโดนอายัดไว้ จะใช้ก็ใช้ไม่ได้เพราะเราใช้ไม่เป็น เราใช้อะไรไม่ได้เลย เหมือนทรัพย์สมบัติโดนอายัดไว้

นี่การศึกษาไง ศึกษาขึ้นมาเพื่อเป็นความรู้ เขาอายัดไว้เราจะปลดล็อกให้ได้ การปลดล็อกของเรา นี่เราตั้งใจของเรา สร้างคุณงามความดีขนาดไหนเพื่อเป็นบารมีธรรมนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา เห็นไหม

นี่เขาบอกว่า “เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ถึงมีบุญญาธิการขนาดนั้น”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ไม่ใช่ สิ่งที่มีในชาติที่เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กระทำมาทั้งหมด”

พระโพธิสัตว์เสียสละมามากมายมหาศาล เสียสละทุกๆ อย่างมา การเสียสละนั้นมาเห็นไหม นี่อำนาจวาสนาบารมี เวลาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นมาแล้ว มันเป็นผลจากการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างบารมีธรรมขึ้นมา

ในปัจจุบันนี้เรามีสติปัญญาของเรา เราจะพยายามสร้างบารมีธรรมของเราขึ้นมา.. นี่เราเสียสละขึ้นมา สิ่งที่เสียสละขึ้นมาก็เพื่อเรา เพื่อบารมีธรรมอันนี้ เห็นไหม เราพยายามแสวงหากันมา

ทรัพย์สมบัติใครจะไม่หวงไม่แหน มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่เพราะเราเห็นผลไง เราเห็นผลพันธุกรรมทางจิตไง ให้มันตัดแต่งของมัน ให้มันแก้ไขของมัน ให้มันเสียสละของมัน ถ้าเรามีสติปัญญาขึ้นมามันก็ทำด้วยความแช่มชื่นแจ่มใส แต่ถ้ามันมีความจำเป็นความบีบคั้น มันก็ทำด้วยความตะเกียกตะกาย ตะเกียกตะกายขนาดไหนเรามีความมั่นคงของเรา ถ้ามีความมั่นคงของเรา เห็นไหม สวดมนต์สวดพรทุกวัน ถ้าวันไหนไม่ได้สวดก็เหมือนขาดสิ่งใดไปอย่างหนึ่ง

เราได้ทำบุญกุศลของเรา ได้เสียสละของเรา เราได้มา.. ได้มานี่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ๑ สลึง เราทำธุรกิจของเราหรือทำการค้า ๑ สลึง แล้วเราเลี้ยงตัวเอง ใช้จ่ายในการเลี้ยงตัวเอง ๑ สลึง มีอีกสลึงหนึ่งเราถึงได้ฝังไว้ในดิน ฝังไว้ในดินคือการทำบุญกุศลนี่ไง มีมากมีน้อยเราเจียดของเรา มากเราก็ทำพอ ตามกำลังของเรา น้อยเราก็ทำตามกำลังของเรา แล้วแต่ที่เราจะทำของเราได้ ถ้าเราทำนะ.. ถ้าทำไม่ได้ก็ภาวนา พุทโธ พุทโธ อนุโมทนาทานก็ได้

การเสียสละ แม้แต่เราเห็นเขาทำบุญกุศลกันเราชื่นใจไปกับเขา เขามีความทุกข์ยากกันไป เราสลดใจ เห็นไหม ธรรมสังเวช ! นี่เรามองสิ มองคนทุกข์คนยาก เวลามองถึงการขาดแคลนเราปลงธรรมสังเวช

ดูสิ เกิดวาตภัย เกิดต่างๆ นี่เขาจนตรอก เขาไปไหนไม่รอด เราจะช่วยเหลือกันได้อย่างไร เราก็ได้ช่วยเหลือเขา เห็นไหม นี่เราสังเวชไหม เราสังเวชในใจไหม เราไม่ได้เป็นอย่างเขา เขาทุกข์ขนาดนั้นเราไม่ได้ทุกข์กับเขา ถ้าไม่ได้ทุกข์กับเขา นี่เวรกรรมของเขา

นี่มันเป็นการสร้างบารมีทั้งนั้นแหละ บารมีธรรมให้จิตใจมันมีการตัดแต่งของมัน ให้จิตใจมันได้รับรู้ของมัน เห็นไหม ถ้าจิตใจรับรู้ มีสติมีปัญญาขึ้นมา ชีวิตนี้.. ชีวิตนี้มีสติปัญญา แต่ชีวิตมันคุ้นเคยไง เพราะเราคุ้นเคยชินชา

หลวงตาท่านพูดประจำ “พูดจนชินปาก ฟังจนชินหู แต่ใจมันด้าน !”

ใจมันด้าน ! ใจมันด้าน ! แต่ถ้าเรามีสติปัญญานี่ใจไม่ด้านนะ เวลาฟังธรรมขึ้นมาขนลุกขนพอง นั่นแหละมันแทงเข้าหัวใจ ถ้าหัวใจมันเข้าถึงหัวใจ มันสะเทือนหัวใจ.. ถ้าสะเทือนหัวใจ การทำสิ่งใดมันต้องมีสติปัญญานะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้สั้นนัก ดูสิ เรามองดูว่าคนนี่ชีวิตสั้นๆ คนที่เขาอยู่ ๑๐๐ กว่าปีชีวิตเขายืนยาว

นี่ก็เหมือนกัน ชีวิตของเราๆ ก็ว่าจะยืนยาวอย่างนั้น จะยืนยาวด้วยคุณงามความดีก็เป็นเรื่องหนึ่ง ยืนยาวขึ้นมา ก็ยืนยาวด้วยความทุกข์นะ บางคนยืนยาวด้วยความเป็นทุกข์ของเขา เขายืนยาวมาเพื่ออะไร เพื่อมารัตตัญญูเหรอ ยืนยาวมาเพื่อได้เห็นมากได้รู้มาก ได้เห็นมากได้รู้มากแล้วเรามีสติไหม

ถ้าได้เห็นมากได้รู้มากมันเตือนใจเรานะ เห็นไหม เวลาพระเราไปชักบังสุกุล นี่ตามประเพณีเขาไปชักบังสุกุลเพื่อให้พิจารณาซากศพ พิจารณาคนตาย เขาก็ตายแล้ว เราจะตายเป็นคนต่อไป แล้วมีสิ่งใดติดไม้ติดมือไปบ้างล่ะ.. นี่ชักบังสุกุลก็เป็นบุญกุศลของเขา เพื่อพิจารณาซากศพของเขาไง พิจารณาซากศพของเขาให้เกิดอสุภะ ให้จิตใจมันสลดสังเวช ให้มันหดเข้ามาที่หัวใจของเรา

นี้จิตใจเราส่งออก ความคิดเราไปอยู่ที่ไหน.. ความคิด นี่ความคิดเกิดจากจิต ! จิตเป็นพลังงาน แต่ความคิดเกิดจากมันความคิดก็ไปรอบโลก เห็นไหม แต่เวลาเราสะเทือนใจ ธรรมสังเวช นี่สิ่งใดๆ ชีวิตนี้ก็ตายแล้ว คนนั้นก็ตายแล้ว คนนั้นก็มีความทุกข์ มีความสุขความสุขก็ชั่วคราว ความสุขอย่างนี้เป็นความสุขอามิส เป็นความสุขของโลก แล้วความสุขเป็นความจริงล่ะ ความสุขในพุทธศาสนาล่ะ จิตสงบนะ

“สุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

แล้วจิตใครสงบบ้างล่ะ ? จิตไม่สงบเราถึงแสวงหาความสงบกันอยู่ นี่ไงที่เรามาทำบุญกุศลก็เพื่อความสงบของใจใช่ไหม ถ้าใจมีความสงบขึ้นมา ถ้าจิตใจมันสงบเข้ามา นี่สิ่งนี้เราอาศัยนะ

อริยทรัพย์ ! เกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เราได้ร่างกายนี้มา เราเกิดในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ เกิดในโอปปาติกะ เห็นไหม เราเกิดมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา ถ้าพ่อแม่ให้ชีวิตนี้มาแล้วชีวิตนี้เราทำสิ่งใดบ้าง เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ดูแลพ่อดูแลแม่ นี่กตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี ! แล้วพุทธะล่ะ หัวใจของเรา เห็นไหม

“ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

เราอุปัฏฐากใจของเราได้อย่างไร เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นี่เราเลี้ยงได้ เราดูแลได้ แล้วหัวใจเราล่ะ หัวใจเราเลี้ยงอะไรมา นี่ต้องมีสติ ถ้าไม่มีสติเอาอะไรไปเลี้ยงมัน.. มันออกหมดนะ นี่จิตนี้ ความคิดเกิดจากจิต แล้วมันส่งออกหมด เห็นไหม เรามีสติปัญญาของเรา เราจะดูแลเขา เราดูแลหัวใจของเรานะ.. ตั้งสติไว้ มันจะเดือดเนื้อร้อนใจขนาดไหน มันจะคับแค้นขนาดไหน ถ้าเรามีสตินะ มีสติแล้วเทียบเคียง

นี่ความก่อนที่จะมาคับแค้นใจมันไม่เห็นมีอะไรเลย แต่เพราะสิ่งใดกระทบมันถึงกระเทือนใจแล้วมันถึงคับแค้นใจ ถ้าเรามีสติปัญญา เห็นไหม พุทโธด้วย มีสติปัญญาด้วย แล้วมันถึงจะอยู่ได้ ถ้าเวลามันโดนผลกระทบที่รุนแรงด้วยความคับแค้นใจ พุทโธ พุทโธ มันก็เอาไม่ไหว.. นี่เราจะรักษาหัวใจของเรา

หัวใจของเรานะเหมือนเด็กน้อย เด็กอ่อน มันงอแง มันอ้อน มันจะเอาแต่ใจของมัน เห็นไหม เราก็รู้ได้ เราก็รักษาได้ เพราะเด็กอ่อน ทารกน้อยเราเห็นได้ด้วยสายตา

หัวใจของเราๆ เอาอะไรไปเห็นมันล่ะ แล้วหัวใจของเรานี่เป็นเรา เห็นไหม เวลาเราคัน แล้วเราเกาไม่ถูกที่คันมันรู้สึกว่ามันไม่พอใจนะ เราคันแล้วเกาไม่ถูกที่คัน มันยุบยิบๆ นี้ใจก็เหมือนกัน เราจะให้มันอยู่มันไม่อยู่ เห็นไหม ต้องการมีสติ ต้องการมีปัญญา เราเอามันไม่อยู่ นี่ตั้งสติ เกาให้ถูกที่คัน ที่ไหนคันเกาตรงนั้นแล้วจะหายคัน

จิตใจนี่มันคัน มันวิ่งเต้นเผ่นกระโดด เห็นไหม ให้ตั้งสติไว้ แล้วพิจารณาว่าทำสิ่งนี้ถูกไหม ทำสิ่งนี้ถูกไหม.. ปัญญาอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา อบรมปัญญาเพื่อให้มีความสงบระงับ

เวลาเราพิจารณา เห็นไหม สรรพสิ่งเป็นธรรมะ ธรรมะเป็นธรรมชาติ เราพิจารณามา นั่นล่ะถ้าเป็นสติมันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ ก็อบรมมาเพื่อความสงบไง แต่อันนั้นมันไม่ใช่โลกุตตรธรรม มันเป็นปัญญาอบรมสมาธิ มันเป็นปัญญาของสามัญสำนึก มันเป็นปัญญาจากความคิดเกิดจากจิต

ถ้าความคิดเกิดจากจิต ความคิดนั้นเป็นสัญชาตญาณ.. ความคิดนั้นส่งออกอยู่แล้ว แต่เรามีสติปัญญาเพราะเราศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เราจะปลดล็อกการอายัดทรัพย์นะ เราจะปลดล็อกหัวใจของเรานะ เราจะปลดล็อกที่กิเลสมันมากับสังขาร ความคิด ความปรุงความแต่งให้มันสงบมา

ถ้ามันสงบเข้ามา.. จิตมันสงบเข้ามา เห็นไหม นี่มันปลดล็อก มันพ้นจากการอายัด มันเป็นสัมมาสมาธิ แล้วเราใช้ปัญญาใคร่ครวญเพื่อจะให้เราพ้นจากกิเลส มันปลดล็อกมาเพื่อจะให้เราใช้เงินใช้ทองของเรานะ

สิ่งที่เราศึกษามาเราศึกษามาเป็นทฤษฏี เราจำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา นี่ทรัพย์นี้โดนอายัดไว้ เราเกิดมาเรามีสิทธิ เรามีความคิด เรามีความเห็น เราใช้ได้เพราะเราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เราเป็นบริษัท ๔ เราเป็นเจ้าของศาสนา พระพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับเรา แต่มันโดนล็อกไว้ด้วยกิเลสไง

เวลาเราพุทโธ พุทโธ พุทโธ เป็นสมาธิเข้าไปแล้วมันจะปลดล็อกของมัน พอปลดล็อกของมัน พอจิตมันพ้นจากการอายัด เห็นไหม ถ้ามันมีปัญญาไปมันจะเป็นโลกุตตรปัญญา.. ปัญญานี้ต่างหาก

“สุขใดเท่ากับจิตสงบไม่มี”

จิตสงบมันก็มีความสุขพอแรงอยู่แล้ว จนเราสามารถติดว่าสมาธินี้เป็นนิพพานกันทั้งนั้นแหละ คนที่ไปติดสมาธิก็คิดว่าความว่าง ความปล่อยวางอันนั้นเป็นนิพพาน แต่เวลามันปลดล็อกไปเป็นอิสระแล้วเราใช้ปัญญาของเรา เห็นไหม

ถ้าปัญญาของเรามันใคร่ครวญของมัน ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม ในชีวิตนี้ ในการเกิดนี้ ในการสลดสังเวช.. ธรรมสังเวชมันสลดนี่ใครสลด ทำไมถึงต้องสลด สลดเพื่ออะไร เห็นไหม ปัญญามันจะย้อนกลับมา แล้วใครไปรู้ไปเห็นมันจะแก้ไขของมัน ถ้าแก้ไขของมันนี่พุทธศาสนา !

ชีวิตนี้สั้นนัก เกิดมานี้เป็นอริยทรัพย์ ได้ชีวิตนี้มาแล้ว ทำมาหากินนี้เป็นหน้าที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เรามีธรรมะในหัวใจขึ้นมานะ เห็นไหม ร่มโพธิ์ร่มไทร !

ครูบาอาจารย์เราเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาเอกของโลก เป็นครูเอกของโลก เป็นครูบาอาจารย์ของเรามาตั้งแต่องค์แรก แล้วครูบาอาจารย์ของเรานี่ปฏิบัติมา มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมา เห็นไหม ร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา แล้วถ้าเราสร้างใจของเราขึ้นมา เราจะมีร่มโพธิ์ร่มไทรของเราในหัวใจ เราจะมีหลักมีเกณฑ์

“จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง” ใจดวงนี้มีที่พึ่งที่อาศัย แล้วใจดวงนี้จะเป็นผู้ชี้นำให้กับใจดวงอื่นๆ ได้พึ่งพาอาศัย.. ร่มโพธิ์ร่มไทร นกกามันจะอาศัย ต้นไม้ใบหนาทึบมันจะมีร่มเงาของมัน นี่มันจะเป็นที่อาศัยของสัตว์ที่อาศัยของต่างๆ จิตใจคนที่ไม่มีหลักมีเกณฑ์ จิตใจคนที่ไม่มีหลัก เห็นไหม อาศัยร่มไม้นั้น ร่มโพธิ์นั้นเพื่อเป็นที่อาศัย

เราต้องสร้างของเราขึ้นมา เรากตัญญูกตเวทีกับพ่อกับแม่ กับครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเราต้องกตัญญูกตเวทีกับหัวใจของเรา.. กตัญญูกตเวทีกับหัวใจของเรา ทำไมเราต้องดูแลเราล่ะ เราทำไมต้องแก้ไขเราล่ะ ทุกคนรู้ได้เวลาเราทุกข์ ทุกคนรู้ได้ต่อเมื่อเรามีความสุข ทุกคนรู้ได้ต่อเมื่อเราปลดกิเลสจากหัวใจ ทุกคนจะมีจิตวิญญาณที่ประเสริฐ

เราเกิดมาด้วยปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตนี้จะเข้ามาแก้ไขเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง